ปริศนา!!!ปล้นเงินล้านที่ประเทศญี่ปุ่น


ปล้นเงิน 300 ล้านเยน

จอมโจรสมองเพชรวางแผนแยบยลบุกเดี่ยวปล้นเงิน 300 ล้านเยนโดยไม่ต้องออกกำลังหรือใช้อาวุธแม้แต่น้อย แม้ว่าจะระดมกำลังตำรวจ 170,000 นายค้นหาและพบวัตถุพยานมากมายกว่าร้อยชิ้นก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้

วันที่ 6 ธันวาคม 1968 ผู้จัดการธนาคารนิฮอน ชินตากุ จินโกะ สาขาโคะกุบุนจิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว ได้รับโทรศัพท์ขู่เรียกเงิน 300 ล้านเยน โดยคนร้ายนัดหมายให้ส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวภายในเวลา 17.00 น. ของวันที่ 7 ธันวาคม หากไม่ยอมทำตามคนร้ายจะวางระเบิดบ้านพักของผู้จัดการธนาคารให้แหลกเป็นจุณ

กำลังตำรวจ 50 นายถูกส่งไปคุ้มกันที่บ้านผู้จัดการธนาคาร แต่ก็ไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นตามคำขู่ของคนร้าย จนกระทั่งถึงวันที่ 10 ธันวาคม ธนาคารนิฮอน ชินตากุ จินโกะ (ปัจจุบันคือธนาคารมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ชินตากุ จินโกะ) ได้รับคำสั่งจากลูกค้าให้นำเงิน 294,307,500 เยน นำส่งไปยังบริษัทโตเกียว ชิบาอุระ อิเลคทริค (ปัจจุบันคือบริษัทโตชิบา)

เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จะจ่ายเป็นโบนัสให้กับพนักงานบริษัทโตเกียว ชิบาอุระ อิเลคทริค ซึ่งโดยปรกติพนักงานขนเงินจะมีเพียงแค่ 2 คน แต่หลังจากผู้จัดการถูกขู่วางระเบิด ธนาคารจึงยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย เพิ่มเจ้าหน้าที่คุ้มกันเงินเป็น 4 คน


ปล้นซึ่งหน้า
พนักงานธนาคารขับรถยนต์นิสสัน เซดริค มุ่งหน้าไปยังบริษัทโตเกียว ชิบาอุระ อิเลคทริค ที่อยู่ชานกรุงโตเกียว แต่ก่อนจะถึงจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่ถึง 200 เมตรเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาเทียบแล้วบอกให้หยุดรถ

ตำรวจแจ้งกับพนักงานธนาคารว่าบ้านของผู้จัดการเพิ่งถูกคนร้ายวางระเบิด และคาดว่าคนร้ายอาจติดระเบิดเวลาไว้ที่รถขนเงินคันนี้ด้วย ดังนั้น จึงขออนุญาตตรวจค้นรถให้ละเอียดก่อนที่จะเดินทางต่อ

พนักงานทุกคนรู้เรื่องที่ผู้จัดการถูกคนร้ายขู่วางระเบิดบ้านพัก พวกเขาจึงเชื่อและยอมลงจากรถให้ตำรวจทำการตรวจค้น ตำรวจก้มลงดูที่ใต้ท้องรถ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังและมีควันพวยพุ่งออกมา ตำรวจตะโกนบอกให้ทุกคนหลบหาที่กำบัง

พนักงานธนาคารต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง วินาทีนั้นเองตำรวจก็รีบวิ่งขึ้นรถและขับออกไปพร้อมกับเงินสดบนรถจำนวน 294,307,500 เยน หรือหากเทียบกับค่าเงินปัจจุบันก็ราวๆ 200 ล้านบาท หนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้พนักงานธนาคารมองหน้ากันเลิกลั่กยืนงงเป็นไก่ตาแตกกว่าจะรู้ก็สาย

พนักงานธนาคารเพิ่งสังเกตเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ที่คนร้ายทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเป็นจักรยานยนต์ยามาฮ่า สปอร์ต รุ่น 350R1 แตกต่างกับจักรยานยนต์ที่ตำรวจญี่ปุ่นใช้ซึ่งเป็นฮอนด้า ดรีม สีขาว และยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามาฮ่าสปอร์ต ไม่ผลิตจักรยานยนต์สีขาว


เมื่อพิเคราะห์อย่างละเอียดพบว่า สีเดิมของจักรยานยนต์คือสีฟ้าแต่มีการพ่นสีขาวทับลงไปให้เหมือนกับสีจักรยานยนต์ของตำรวจ และควันที่พวกเขาเห็นพวยพุ่งออกมาจากใต้ท้องรถยนต์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ระเบิดควันที่ไม่มีอันตรายใดๆ

ตำรวจตัวจริงออกตามหาคนร้ายจนไปพบรถขนเงินถูกจอดทิ้งไว้ที่รกร้างแห่งหนึ่ง จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายได้เปลี่ยนรถหลบหนีเป็นโตโยต้า โคโรลล่า เคอี10 สีฟ้าเข้ม

ตำรวจสเกตช์ภาพใบหน้าคนร้าย ทำสำเนากว่า 780,000 ใบแจกจ่ายไปทั่วญี่ปุ่น ในที่สุดที่พบตัวผู้ต้องสงสัยเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 19 ปี บุตรชายตำรวจมอเตอร์ไซค์นายหนึ่ง หากแต่ว่าผู้ต้องสงสัยได้กินยาตายไปแล้วหลังจากเกิดเหตุเพียง 5 วัน และจากการค้นบ้านตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆเชื่อมโยงกับคดีนี้หลักฐานเพียบ

สี่เดือนให้หลัง ตำรวจพบรถคนร้ายจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถร้างแห่งหนึ่ง และพบกล่องบรรจุเงินของธนาคารอยู่ภายในรถ หากแต่เป็นกล่องว่างเปล่า ไม่มีเงินเหลืออยู่ในกล่องแม้แต่แดงเดียว จากการสืบสวนตำรวจพบว่าคนร้ายเปลี่ยนรถอีกครั้งเป็นโตโยต้า โคโรลล่า เช่นเดียวกัน

บริเวณใกล้เคียงตำรวจยังพบรถยนต์นิสสัน บลูเบิร์ด นิสสัน สกายไลน์ 1500 นิสสัน สกายไลน์ 2000จีที และจักรยานยนต์ฮอนด้า ดรีม สีขาว ซึ่งรถทุกคันล้วนแต่เป็นรถที่ถูกขโมยมา ตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายวางแผนจะใช้จักรยานยนต์ฮอนด้า ดรีม สีขาว เป็นพาหนะ เพราะมันเป็นจักรยานยนต์รุ่นเดียวกับที่ตำรวจใช้ หากแต่ว่าเครื่องยนต์ขัดข้อง คนร้ายจึงเปลี่ยนไปใช้ยามาฮ่า สปอร์ต แล้วพ่นสีขาวทับแทน

ตำรวจสามารถรวบรวมวัตถุพยานได้มากกว่า 120 ชิ้น แต่ไม่มีหลักฐานชิ้นใดสามารถนำสืบไปสู่ตัวคนร้ายได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะวัตถุพยานเหล่านี้หากไม่ใช่ของที่ถูกขโมยมาก็เป็นของสามัญๆที่ใครๆก็มีใช้กัน

การสืบสวนกินเวลา 7 ปี มีตำรวจราว 170,000 นาย เข้าร่วมสืบสวนในคดีนี้ มีการสืบประวัติผู้ต้องสงสัยกว่า 110,000 คน สูญเสียงบประมาณในการสืบสวนไปกว่า 900 ล้านเยน หรือมากกว่า 3 เท่าของเงินที่คนร้ายปล้นไป แต่ก็ยังควานหาตัวคนร้ายไม่พบ


หมดอายุความ
วันที่ 15 พฤศจิกายน 1975 ตำรวจจับกุมตัวชายวัย 25 ปี ในคดีอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องการปล้นเงินธนาคาร ชายคนนี้มีประวัติเป็นเพื่อนกับลูกชายตำรวจมอเตอร์ไซค์ที่ฆ่าตัวตายเมื่อ 7 ปีก่อน ชายคนนี้มีเงินจำนวนมากเกินกว่าที่คนในวัยเขาจะหาได้ แต่เขาปฏิเสธที่จะบอกว่าได้เงินจำนวนนี้มาจากไหน และตำรวจก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นเงินที่มาจากการปล้นรถขนเงิน เขาจึงถูกปล่อยตัว

วันที่ 10 ธันวาคม 1975 คดีนี้ก็ปิดลงอย่างถาวรเพราะหมดอายุความ โดยไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ แต่สื่อสำนักต่างๆยังพยายามขุดคุ้ยหาคำตอบว่าใครเป็นคนร้ายสมองเพชร ที่วางแผนปล้นเงินจำนวนมหาศาลที่ได้ชื่อว่าเป็นการปล้นเงินจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยลงมือเพียงลำพังและไม่มีการใช้อาวุธ

ปี 1998 นิตยสารชูกัน โฮเซกิ อ้างว่าในที่สุดพวกเขาก็พบตัวคนร้าย เป็นชายวัย 55 ปี ชื่อ ยูจิ โอกาตะ โดยเขาเป็นคนมาสารภาพด้วยตัวเอง เพราะคดีได้หมดอายุความไปแล้ว ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวเขาได้

ยูจิอ้างว่า เขากับพรรคพวกร่วมมือกันปล้นรถขนเงินเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1968 หลังจากนั้นเขาได้ให้ธนบัตร 500 เยนกับเด็กวัย 10 ขวบคนหนึ่งเพื่อเป็นเคล็ด ก่อนที่จะนำกล่องเงินซุกไว้ในรถบรรทุกแผ่นกระจกเพื่อหลบเลี่ยงการค้นของด่านตำรวจและหนีไปกบดานอยู่ที่ชนบท

หากแต่เรื่องเล่าของยูจิไม่มีหลักฐานสนับสนุนแม้แต่น้อย ภรรยาของเขาเองยังบอกว่ายูจิมันขี้โม้ อีกทั้งญาติพี่น้องหลายคนบอกว่าหลังเหตุการณ์ปล้นรถขนเงิน ยูจิได้มาหยิบยืมเงินจากพวกเขา หากเขาเป็นคนปล้นรถขนเงินจริงก็คงไม่ต้องมายืมเงินญาติพี่น้องหรอก

คดีปล้นเงิน 300 ล้านเยนจึงยังคงเป็นคดีปริศนาที่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ หรือจะว่าไปแล้วตำรวจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนร้ายเป็นใคร แม้ว่าจะระดมกำลังตำรวจนับแสนนายและใช้งบประมาณสืบสวนจำนวนมหาศาล จนได้รับการบันทึกว่าเป็นคดีที่ใช้ทรัพยากรในการสืบสวนมากที่สุดคดีหนึ่งของญี่ปุ่น

ขอบคุณที่มา
ดีดี คอลัมน์ : ร้ายสาระ ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
http://www.lokwannee.com

รูปเป็นเพียงภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.