ฮิญาบ(ผ้าคลุมหัว)ราคาหมื่นแปด น่าสงสารหญิงหม้ายกับลูกอีกสองคน


"ฮิญาบราคาหมื่นแปด"


อ่านแล้วน้ำตาไหล


หญิงหม้ายวัยสามสิบต้นๆ พร้อมลูกชายวัยเก้าขวบและวัยสองขวบเศษเดินทางจาก
ปัตตานีมุ่งหน้าสู่ภูมิลำเนาเดิม

นางเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด และต่อมาได้เข้ารับอิสลาม

ภายหลังแต่งงานกับมุสลิมดั่งเดิมคนนึง
อยู่กินกันได้ประมาณสิบปี

ชีวิตคู่เริ่มมีปัญหาถึงขั้นหย่าร้าง
ทำให้ต้องกลับมาปักหลัก ณ ที่เดิมที่เคยรับอิสลาม

สิ่งแรกที่นางต้องรีบทำโดยด่วนคือ การหางานทำ ชีวิตในเมืองหลวงทุกย่างก้าวล้วนแล้ว
แต่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น เงินที่ติดตัวมาหลังจากที่หย่าก็มีไม่มาก เพราะถูกอธรรมจากฝ่ายอดีต
สามี เนื่องด้วยตัวเองหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่นางเป็นคนมีความรู้เลยคิดว่าคงหางานทำ
ได้ไม่ยาก

วันแรกของการออกหางานทำ นางอาศัยการเดินเท้า หางานตามป้ายที่ติดตามป้าประกาศ
ตามเสาไฟฟ้า หรือแม้แต่หน้ากระจกบริษัทต่างๆ

การกลับมาคราวนี้แตกต่างจากคราวที่แล้ว
โดยสิ้นเชิง เพราะคราวที่แล้วนางยังเป็นต่างศาสนิก แต่คราวนี้นางเป็นมุสลีมะฮฺ
แถมใส่ฮิญาบ(ผ้าคลุมหัว)ผืนยาวใหญ่ปิด
หน้าอย่างกับนินจา

พอเข้าไปแจ้งความจำนงค์ว่าจะมาสมัครงานเลยถูกปฏิเสธ ตั้งแต่ยังไม่เขียนใบสมัครด้วยซ้ำ

นางไม่ย่อท้อยังคงเดินหางานทำต่อไป พลันสายตาหันมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง
หน้าประตูกระจกติดป้ายไว้ว่า
"รับสมัครพนักงานต้อนรับ 1 ตำแหน่ง"

นางไม่รีรอตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปทันที ที่นี่เปิดโอกาสให้นางได้กรอกใบสมัครพร้อมยื่นหลักฐาน หลังกรอกใบสมัครเสร็จนั่งรอ
อยู่สักครู่ มีเสียงเรียกจากพนักงานหญิงคนหนึ่งให้เข้าสัมภาษณ์ในห้องผู้จัดการ

นางเดินเข้าไปในห้อง พร้อมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้เบื้องหน้า มีชายผู้หนึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายลูกครึ่ง เขาทักทายเป็นภาษา
อังกฤษทันที นางตอบรับ

นี่คงจะเริ่มต้นการสัมภาษณ์แล้วสินะ นึกในใจเป็นธรรมดาของตำแหน่งพนักงานต้อนรับที่ต้องติดต่อกับบุคคลหลายชาติหลายภาษา
ภาษาอังกฤษจึงถูกเลือกให้เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสาร

นางได้ใช้ภาษาที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ที่คุณพ่อจ้างมิชชันนารีจากออสเตรเลียมาสอนภาษาให้เป็นเวลาสิบกว่าปีจึงทำให้นางผ่านด่านตรงนี้ไปได้ไม่ยากเย็นนัก
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ หลังจากสัมภาษณ์เสร็จเรียบ
ร้อย นี่คือบททดสอบอันยิ่งใหญ่สำหรับนาง เพราะคำตอบที่ได้คือ


ผู้จัดการ. : ทางเรามีความยินดี ขอแจ้งให้คุณได้ทราบว่า เรารับคุณเข้าทำงานในตำแหน่ง
พนักงานต้อนรับด้วยเงินเดือนขั้นแรก 18,000 บาทต่อเดือน แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องแต่งกายตามเครื่องแบบที่โรงแรมกำหนดให้

หากคุณยอมทำตามเงื่อนไข
ของเรา พรุ่งนี้มาเริ่มงานได้เลย"

นางอึ้งไปครู่ใหญ่ จึงบอกกับผู้จัดการไปว่า ขอกลับไปคิดที่บ้านสักหนึ่งวันแล้วจะให้
คำตอบ

ผู้จัดการรับคำแล้วลุกเดินจากไป ทิ้งความเงียบไว้ให้กับนางที่ยังคงนั่งนิ่งราวกับหุ่น

นางเดินกลับที่พักด้วยความเลื่อนลอย ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อสักครู่

ตั้งแต่รับอิสลามมา นางยังไม่เคยถอดฮิญาบ
ออกนอกบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่นาง
ต้องถอดฮิญาบเพื่อแลกกับเงินเดือน 18,000 บาทเลยหรือ?

พลางคิดในใจ โอ้อัลลอฮฺ !! พระองค์ทรงกำลังทดสอบบ่าวผู้อ่อนแอคนนี้อยู่ใช่ไหม?

ขอพระองค์ทรงให้ทางออกที่ดีกว่านี้ด้วยเถิด

คืนนั้นหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ นางได้เรียกลูกชายคนโตเข้ามาคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน
ลูกชายเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงบอกกับผู้เป็นแม่ว่า

ลูกชาย : อุมมีย์ไม่ต้องไปทำงานที่นั่นหรอก เพราะหากต้องแลกกับการที่ต้องถอดฮิญาบ
แล้วถึงจะได้เงินมา ผมว่ามันไม่คุ้มกันหรอกกับการที่จะทำให้อัลลอฮฺไม่พอใจ ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวเราลองขอเช่าที่เล็กๆ กับคนแถวนี้ดู ขายของกินอะไรก็ได้ อุมมีย์ก็ทำอาหารอร่อยตั้งหลายอย่าง


หลังจากกลับจากโรงเรียนผมค่อยมาสลับให้
อุมมีย์ได้พักมั่ง ทำการบ้านไปพลาง ขายไปพลางก็คงจะได้อยู่ ส่วนช่วงมัฆริบ(ตะวันตกดิน) ก็สลับกันไปละหมาด

อุมมีย์: จะดีเหรอลูก? หนูกลับจากโรงเรียนมาเหนื่อยๆ น่ะ ยังต้องมาช่วยอุมมีย์ขายของอีก
ไหนจะการบ้านอีก

ลูกชาย : ถึงจะเหนื่อยกายแต่ไม่หนักใจนะครับ เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากเรายอม
แลกเครื่องแบบที่พระองค์ทรงจัดไว้ให้อุมมีย์กับเงิน18,000

มันอาจจะดูเยอะแต่..อัลลอฮฺ
น่าจะให้เราเยอะยิ่งกว่า ถ้าเราทำให้พระองค์พอใจ ได้ยินลูกชายพูดดังนั้น

นางถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ดึงลูกชายมาสวมกอดด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ
พร้อมกล่าวขอบคุณลูกชายที่
เข้าใจความรู้สึกของนางเป็นอย่างดี

นี่แหละกระมัง ของขวัญอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่ที่หาซื้อและแลกไม่ได้ด้วยเงิน

(รูปภาพเป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น)
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ
cr : unknow

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.